กุ้ยหลินเมืองไทย



            วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักกับ กุ้ยหลินเมืองไทย จะเป็นยังงัยอยู่ที่ใหน แล้วจะสวยเหมือนกุ้ยหลินของจริงมั้ยมาดูกันเลยค่ะ

  เขื่อนรัชชประภา มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อก่อนสร้างแล้วเสร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ใหม่ว่า เขื่อนรัชชประภามีความหมายว่า แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร



เขื่อนรัชชประภา สร้างปิดกั้นลำน้ำคลองแสง ที่บ้านเชี่ยวหลาน ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยพื้นทีส่นใหญ่ติดอุทยานแห่งชาติเขาสกเกือบทั้งหมด เป็น เขื่อนหินถมแกนดินเหนียว สูง 94 เมตร ความยาวสันเขื่อน 761 เมตร และมีเขื่อนปิดกั้นช่องเขาขาดอีก 5 แห่ง มีความจุ 5,638.8 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 185 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยปีละ 3,057 ล้านลูกบาศก์เมตร ติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าเครื่องละ 80,000 กิโลวัตต์ จำนวน 3 เครื่อง รวมกำลัง การผลิต 240,000 กิโลวัตต์ ให้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยปีละประมาณ 554 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง


        เขื่อนรัชชประภา หรือที่เรียกกันติดปากว่า กุ้ยหลินเมืองไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาสก ทัศนียภาพโดยทั่วไปภายในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนรัชชประภา มีทัศนียภาพที่สวยงามมาก  นักท่องเที่ยวทุกคณะที่ไปเห็นล้วนประทับใจ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาหินปูนที่สูงชันล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำที่กว้างใหญ่  ด้วยความลึกของระดับน้ำ กรอปกับสีของตะไคร้น้ำที่อยู่เบื้องล่างทำให้น้ำในเขื่อนมีสีเข้มเหมือนสีมรกต จนนักท่องเที่ยวหลายท่านคิดว่าเป็นน้ำทะเล  ลักษณะภูมิประเทศไปคล้ายกับภูมิประเทศที่เมืองกุ้ยหลินประเทศจีน จึงได้ฉายาว่า กุ้ยหลินเมืองไทย นอกจากเขื่อนรัชชประภาจะมีทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว พื้นที่รายรอบเขื่อนยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก เช่น ถ้ำน้ำทะลุ เป็นถ้ำที่มีลำธารไหลผ่านและต้องเดินป่าเข้าไปชม เส้นทางเดินบรรยากาศร่มรื่นระยะทางเดินไม่ไกล เส้นทางไม่ลำบากมาก ถ้ำปะการังก็น่าสนใจและเข้าถึงได้สะดวกไม่ต้องเดินไกลเหมือนถ้ำน้ำทะลุ จุดชมวิวเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ อยู่บนเขาสูงซึ่งจะต้องเดินป่าไต่ความสูงขึ้นไป จากจุดชมวิว เมื่อมองลงมาจะเห็นเกาะแก่งน้อยใหญ่ที่รายรอบอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำ


            แหล่งท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติเขาสกแบ่งลักษณะการท่องเที่ยวตามลักษณะพื้นที่ได้ 2 ประเภท คือการท่องเที่ยวทางบก หรือการเดินป่า และ การท่องเที่ยวทางน้ำ หรือการล่องเรือชมวิวเหนือเขื่อน นอนแพ พื้นที่การท่องเที่ยวทั้งสองแบบนี้อยู่ห่างกันประมาณ 51 กิโลเมตร ตามถนนหลวง หรือ 65 กิโลเมตรจากเขื่อน


         การท่องเที่ยวทางบก หรือ การเดินป่า กิจกรรมหลักอยู่บริเวณพื้นที่รอบๆ ที่ตั้งอุทยานแห่งชาติเขาสก หรือที่ กม 109 แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ น้ำตกต่างๆ ที่เกิดจากลำน้ำในคลองศกที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ เกิดเป็นน้ำตกหลายแห่งให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชมด้วยการเดินเท้าเข้าไป หรือที่เรียกกันว่า เดินป่าเขาสก  นอกจากเดินป่าเขาสกเพื่อชมน้ำตกแล้ว จุดไฮไลท์ของที่นี่คือ  ดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก มีกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ สำหรับที่เขาสกนี้พบว่ามีดอกบัวผุดอยู่หลายจุดและมีดอกผลัดเปลี่ยนกันบานไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นฤดูจนถึงปลายฤดู เนื่องจากหาชมได้กว่ากว่าพื้นที่อื่นๆ จึงทำให้เขาสกมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของกิจกรรมท่องเที่ยวเดินป่าชมบัวผุดจนมีนักท่องเที่ยวไปชมกันมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ







        การท่องเที่ยวทางน้ำ คือการท่องเที่ยวในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนรัชชประภา ที่กล่าวว่าท่องเที่ยวทางน้ำเพราะว่าเราต้องนั่งเรือไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เหนือเขื่อน กิจกรรมการท่องเที่ยวในเขื่อนได้แก่ นั่งเรือชมวิวเกาะแก่งหิน หรือกุ้ยหลินเมืองไทย นั่งเรือไปนอนแพสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่รายรอบไปด้วยผืนน้ำและภูเขา พายเรือแคนู เล่นน้ำ ตกปลา นั่งเรือไปเที่ยวถ้ำปะการัง นั่งเรือไปปากทางถ้ำน้ำทะลุแล้วเดินเท้าไปยังถ้ำ นั่งซุ่มดูนกเงือกที่มีมากมายในป่าแห่งนี้  




ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tourdoi.com

...................................................................

สมกับที่ขึ้นชื่อว่าเป็น กุ้ยหลินเมืองไทย 
บรรยากาศเงียบสงบบนผืนน้ำจืดแสนกว้างใหญ่ที่ไหลเรื่อยเอื่อยแรงตามกระแสลมพัดผ่าน พร้อมฉากหลังอันเป็นภูเขาหินปูนใหญ่น้อย 
เรียงลดหลั่น สูงบ้าง ต่ำบ้าง ระเกะระกะสลับกันไป 
บ้างเป็นหน้าผาตัดสูงชันคล้ายหอคอยตั้งเด่นเป็นสง่า 
ทำให้อุทยานแห่งชาติเขาสกเลื่องชื่อลือชาว่ามีความงดงามไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองกุ้ยหลินของประเทศจีน ที่นี่ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งในไทยที่น่าเที่ยวมากๆสำหรับคนที่เบื่อทะเล หรือเบื่อดอย ลองมาเปลี่ยนเป็นเที่ยวเขื่อนแบบนี้ โรแมนติกไปอีกแบบหนึ่งค่ะ ว่างๆคงต้องจัดทริปไปลองสัมผัสด้วยตัวเอง รับรองไม่พลาดแน่นอนค่ะ

No comments:

Post a Comment