จากที่พาเที่ยวทะเลมานักต่อนักแล้ววันนี้จะมานำเสนอที่เที่ยวทางจังหวัดภาคเหนือกันบ้างหลายๆต้องรู้จักดอกซากุระ
ดอกไม้สีชมพู บานสะพรั่งบนต้นไม้ใหญ่ พูดแล้วก็ต้องใช่ประเทศญี่ปุ่นแน่นอน
แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องไปถึงญี่ปุ่นกันแล้ว ประเทศไทยเราก็มี ว้าวววว
สวยงามไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลยค่ะเรามาทำความรู้จักกับต้นไม้ต้นนี้กันเลยดีกว่า
นางพญาเสือโคร่ง ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์
พบทั่วไปบนดอยสูง เช่น ภูลมโล จังหวัดเลย, ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย, ดอยเวียงแหง ขุนช่างเคี่ยน ขุนแม่ยะ จังหวัดเชียงใหม่, ขุนสถานดอยวาว ดอยภูคา และมณีพฤกษ์ จังหวัดน่าน โดยเป็นดอกไม้ประจำอำเภอเวียงแหง นางพญาเสือโคร่ง
เป็นพรรณไม้ที่มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศไทย
ทางตอนใต้ของประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และถูกนิยมเรียกว่า"ซากุระเมืองไทย"
เพราะมีลักษณะคล้ายซากุระ แม้จะเป็นคนละชนิดกันก็ตาม ผลของนางพญาเสือโคร่งสามารถนำมารับประทานได้
มีรสเปรี้ยว ส่วนเนื้อไม้และการใช้ประโยชน์ ด้านอื่นยังไม่มีการบันทึกข้อมูลไว้
นอกจากการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีดอกสวยงาม
4 สถานที่หลักๆ
ที่ผู้คนนิยมขึ้นไปเที่ยวชมดอกนางพญาเสือโคร่ง ในจังหวัดเชียงใหม่
1. ขุนช่างเคี่ยน
ดอยสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ค่าเข้าชม : ไม่เก็บ
บริการ : เยี่ยมชม และถ่ายภาพดอกนางพญาเสือโคร่งบานสะพรั่ง
บริการบ้านพักทั้งหมด 7 หลัง ราคา 600 บาท/หลัง
มีบ้านหลังใหญ่มี 2 หลัง สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลังละ
10 คน หลังเล็กสามารถพักได้หลังละ 8 คน
2 หลัง 6 คน 2 หลังและ
2 คน 1หลัง ราคาเท่ากันทุกหลัง
มีที่สำหรับกางเต็นท์เกิน 50 ที่ ค่าบำรุงเต็นท์เล็ก100บาท เต็นท์ใหญ่คิดเป็นหัว 50บาท/หัว
มีบริการอาหาร-เครื่องดื่ม (ต้องแจ้งล่วงหน้า)
การเดินทาง : ใช้เส้นทางถนนห้วยแก้ว
อ.เมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นดอยสุเทพผ่านพระตำหนักภูพิงค์
แยกขวาที่สามแยกไปหมู่บ้านม้งดอยปุย จากนั้นเลี้ยวไปขุนช่างเคี่ยน ประมาณ 30
กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
การเดินทางสามารถเข้าถึงโดยรถยนต์ หรือจะเช่ารถสองแถวที่เชิงดอยสุเทพ มีบ้านพัก
และจุดกางเต็นท์บริการ
เบอร์ติดต่อ : ศูนย์วิจัย และฝึกอบรมที่สูง คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร. 0 5394 4052, 0 5322 2014
2. ขุนแม่ยะ
อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ (ถนนหมายเลข 1095 แม่มาลัย-ปาย)
ค่าเข้าชม: ไม่เก็บ
บริการ: เยี่ยมชม และถ่ายภาพดอกนางพญาเสือโคร่งบานสะพรั่ง รับนักท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 300 คน ต้องนำเต็นท์และอาหารไปเอง (ต้องแจ้งล่วงหน้า)
การเดินทาง : การเดินทางเข้าถึงค่อนข้างลำบาก ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ถนนเป็นลูกรังดินแดง ไปตามทางหลวงหมายเลข 1095 แม่มาลัย-ปาย ใช้เวลาในการเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
เบอร์ติดต่อ : 0 5321 7453
3. ดอยอ่างขาง
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง
จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2512
ตั้งอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร
มีชื่อเสียงในเรื่องของความงดงามของไม้ดอก พืชผัก
และไม้ผลเมืองหนาวท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ภายในมีสวนดอกไม้ในร่ม
สวนดอกไม้กลางแจ้ง แปลงผัก ผลไม้เมืองหนาวมากกว่า60 ชนิด
และมีสิ่งอำนวยความสะดวกบริการนักท่องเที่ยวครบครัน ทั้งที่พัก ร้านอาหาร
และมีสถานที่กางเต็นท์ ดอยอ่างขาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของจังหวัดเชียงใหม่
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศเหนือ 137 กม.
แยกซ้ายเข้าไปอีก 25 กม.
ดอยอ่างขางเป็นเทือกดอยสูงติดกับสันเขาพรมแดนประเทศพม่า
บริการ : จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวไปเยือนดอยอ่างขางคือการไปเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาวภายโครงการหลวงอ่างขาง
สถานีเกษตรดอยอ่างขางได้รับการจัดตั้งเมื่อปี 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อวิจัยพืชเมืองหนาวเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกทดแทนฝิ่นและหยุดการทำลายป่า
ดอยอ่างขางมีลักษณะเป็นแอ่งที่ราบในหุบเขาลักษณะเหมือนท้องกะทะหรือเหมือนอ่าง
อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,400 เมตร
ภายในโครงการมีสถานที่น่าสนใจได้แก่ แปลงทดลองปลูกพืชผลไม้เมืองหนาว ได้แก่
สวนบ๊วย สวนท้อ สตอบอรี่ กีวี่ พลับ สาลี่ เบอลี่บูล
ภายในโครงการหลวงมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่ สวนแปดสิบ โรงเรือนไม้ในร่ม
โรงเรือนกุหลาบ แปลงผัก ป่าซากุระ ป่าเมเปิล พระตำหนักอ่างขาง สวนบอนไซ
ค่าเข้าชม : คนละ 50 บาท เปิดเวลา 06.00 – 18.00 น.
การเดินทาง : การเดินทาง จากเชียงใหม่
ใช้เส้นทางสาย 107 เชียงใหม่-ฝาง เป็นเส้นทางผ่านแม่ริม
แม่แตง เชียงดาว ทางแยกเข้าดอยอ่างขางมี 2 เส้นทาง คือ
แยกซ้ายที่ กม.79เป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่ชันมากแต่ทางจะเปลี่ยวหน่อย
ระยะทางจากแยกทางหลวงสาย 107ไปจนถึงอ่างขางมีระยะทางประมาณ 50
กม. อีกเส้นทางคือแยกที่ กม.137 มีระยะทางถึงอ่างขางประมาณ
25 กม. เป็นเส้นทางที่สั้นแต่ชันมาก
รถเก๋งและรถทุกชนิดขึ้นได้ถ้าคนขับมีฝีมือ ถ้าไม่แน่ใจให้จอดรถไว้ที่วัดที่ปากทาง
กม.137 หรือจอดรถไว้ที่บริเวณลานจอดรถเอกชนมีรั้วมิดชิด
สถานที่รับจอดรถอยู่ตรงข้ามกับปากทางเข้าดอยอ่างขาง ค่ารถจอดคันละ 50 บาท แล้วนั่งรถสองแถวขึ้นไป หรือเหมารถขึ้นไปเส้นทางขึ้นดอยอ่างขางสูงชันคดเคี้ยวและอันตรายถึงแม้ปัจจุบันมีการปรับปรุงผิวทางจราจรไว้ดีแล้วก็ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย
ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากเบรคไหม้เบรคแตกขณะลงเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเกียร์ออโต้
เบอร์ติดต่อ : 0 5345 0107-9, 0 5345 0031
4. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
(ขุนวาง)
ถือเป็นโครงการหลวงขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่ง
ตั้งอยู่ไม่ไกลนักจาก สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ตั้งใจกลางหุบเขาสูง จึงมีความงดงามของสภาพพื้นที่
ซึ่งปกคลุมด้วยสภาพ อากาศหนาวเย็น ตลอดทั้งปี
บริการ : มาที่นี่นอกจากเราจะได้ชมแปลงพืชผักไม้ผลเมืองหนาวต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาลี่ พลัม ท้อ แนคตารีน หรือสตรอเบอร์รี่
หากมาในช่วงต้นถึงปลายเดือน ม.ค. ของทุกปี
จะได้ชมดอกพญาเสือโคร่งหรือซากุระเมืองไทย
ที่จะบานสะพรั่งเป็นสีชมพูสวยงามตลอดริมทาง มีบ้านพักรับรองภายในศูนย์ฯ จำนวน 5
หลังรับรองได้หลังละ 6-15 คน ราคาที่พักหลังละ
500, 800 และ1,200/คืน
ส่วนเต็นท์มีขนาด 2 คน ให้บริการราคา 100 บาท/ถุง/คืน กรณีนำเต็นท์มาเองคิดค่าบริการพื้นที่30 บาท/หลัง/คืน ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)บ้านขุนวาง หมู่12
ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ 50360
การเดินทาง : การเดินทาง
โดยรถยนต์ส่วนตัว จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ก่อนถึงอำเภอจอมทอง มีทางแยกขวามือขึ้น
ดอยอินทนนท์ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1009 ราวหลักกิโลเมตรที่30-31
มีสามแยกตรงหมู่บ้านขุนกลาง ก็เลี้ยวขวาไปอีก 16 กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านขุนวาง เลยหมู่บ้านไปประมาณ2 กิโลเมตร
ก็จะถึงสถานนีเกษตรฯ ขุนวาง ถนนเป็นถนนลาดยาง อาจจะมีหลุมบ้าง โดยรถสาธารณะ
หากต้องการเดินทางวางโดยไม่มีรถส่วนตัว
ต้องอาศัยเช่ารถสองแถวสีเหลืองโดยสามารถเช่าได้ตรงอำเภอจองทอง ตรงคิว
รถสองแถวขึ้นดอยอินทนนท์ตรงวัดพระธาตุศรีจอมทอง
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/tatchiangmai
...................................................................
และนี่แหละค่ะคือต้นซากูระเมืองไทย
ช่างงดงามและล้ำค่ามากๆจริงๆ ต้องหาโอกาสไปเที่ยวให้ได้แล้วล่ะ
หนาวนี้ไปไม่ทันก็หนาวหน้าละกัน ประเทศเรามีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้เที่ยวตลอดทั้งปีจริงๆค่ะ
หน้าร้อนลงทะเล หน้าหนาวก็ขึ้นดอย ที่สำคัญไปเที่ยวก็เก็บแต่รูปถ่ายมานะคะ ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติของเราให้สวยไปนานๆค่ะ
จ
No comments:
Post a Comment